Lightning Network คืออะไร? ช่วยแก้ปัญหาบนเครือข่าย Bitcoin ได้อย่างไรบ้าง?

อย่างที่ทราบกันดีว่า Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นสกุลแรกของโลก ด้วยความที่เป็นสกุลเงินแบบไร้ศูนย์กลาง (Decentralize) ไม่สามารถแทรกแซงได้ จึงมีผู้คนให้ความสนใจในตัว Bitcoin มากขึ้น ทั้งในเรื่องการขุด (Mining) หรือการซื้อ Bitcoin เพื่อลงทุนก็ตาม 

ถึงแม้ว่า Bitcoin จะเป็นสกุลเงินดิจิทัลเบอร์หนึ่งในโลกคริปโตฯ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลาที่ใช้ประมวลธุรกรรมนานและค่าธรรมเนียมการโอนที่ค่อนข้างแพง ทำให้การนำ Bitcoin มาใช้ในชีวิตประจำวันนั้นยังไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้โดยง่าย

เนื่องจากปัญหาเดิมของ Bitcoin คือ มีอัตราการทำธุรกรรมต่อวินาทีต่ำ (TPS: Transaction Per Second) ส่งผลให้ Blockchain ของ Bitcoin ไม่สามารถรองรับธุรกรรมเยอะ ๆ ได้ และเมื่อมีผู้คนให้ความสนใจในตัว Bitcoin มากขึ้น ทำให้ปริมาณธุรกรรมในระบบเพิ่มมากขึ้น แต่เครือข่ายไม่สามารถรองรับธุรกรรมในปริมาณมากได้

จึงเกิดระบบที่เรียกว่า Lightning Network (LN) เพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาด้านการประมวลผลการทำธุรกรรมของ Bitcoin ที่มีความล่าช้าหรือพูดง่าย ๆ คือถ้าเราใช้ Lightning Network ในการโอน Bitcoin มันก็จะรวดเร็วทันใจมากยิ่งขึ้น ไม่ช้าและอืดเหมือนเดิมอีกต่อไป!

ก่อนอื่นเรามาดูกันว่า Lightning Network คืออะไร?

Lightning Network คือระบบเครือข่ายใหม่แบบ L2 (Layer2) ที่สร้างเพิ่มเข้าไปบนบล็อกเชนหลักของ Bitcoin (Layer1) ส่งผลให้ทำธุรกรรมนอกบล็อกเชนได้ (Off-Chain) ซึ่งจะสามารถทำธุรกรรมได้เยอะมากขึ้น ลดความแออัดบนบล็อกเชนหลัก เปรียบเสมือนมีทางด่วนเพิ่มขึ้นมาอีกช่องทางหนึ่งนั่นเอง

แล้วสรุป Lightning Network เข้ามาช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?

1. รองรับธุรกรรมได้มากขึ้น

ด้วยความที่เป็นเครือข่ายใหม่ (Layer2) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาเครือข่ายเดิมที่ไม่สามารถประมวลผลธุรกรรมมหาศาลได้ จึงทำให้สามารถสเกลการรองรับธุรกรรมได้สูงถึงหลักล้านต่อวินาทีเลยทีเดียว 

2.ทำให้การโอน-ส่งรวดเร็วขึ้นอย่างมาก 

เพราะว่าธุรกรรมบน Lightning Network จะถูกดำเนินการนอกเครือข่าย ซึ่งช่วยลดภาระหรือความแออัดบนบล็อกเชนหลักได้มาก ทำให้ธุรกรรมสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว

3. ช่วยให้ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมถูก

เนื่องจากไม่ได้พึ่งการยืนยันธุรกรรมจากบล็อกเชนหลัก เพราะสามารถทำธุรกรรมแบบ Peer-to-Peer ได้ และเมื่อธุรกรรมบนเครือข่ายหลักไม่แออัด ค่าธรรมเนียมจึงไม่จำเป็นต้องแพงอีกต่อไป

ผู้ใช้งาน Lightning Network ทั้งฝั่งผู้โอนเงินและผู้รับเงินนั้นสามารถทำธุรกรรมผ่าน Multi-Sig Wallet ได้ ซึ่งผู้โอนและผู้รับจะต้องเซ็นยอมรับธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นร่วมกัน และผู้ใช้งานจะส่งข้อมูลธุรกรรมกันเองแบบ Peer-to-Peer ผ่าน Payment Channel 

สรุปได้ว่าการเข้ามาของระบบ Lightning Network จะทำให้เราสามารถใช้ Bitcoin ในชีวิตประจำวันได้ อย่างง่าย ๆ เช่นการซื้อกาแฟด้วย Bitcoin ผ่านการโอนหากันระหว่าง Wallet คล้ายการสแกน QR Code หรือโอนผ่านพร้อมเพย์ในบ้านเรา รวมถึงธุรกรรมยิบย่อยอื่น ๆ ก็สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยเช่นกัน 

อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีของ Lightning Network ยังคงถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอด ซึ่งเรายังต้องติดตามกันต่อไปว่าจะมีการอัปเกรดอะไรใหม่ ๆ ที่ทำให้ Bitcoin Lightning Network สามารถเข้าถึงคนส่วนใหญ่ได้ง่ายขึ้น

________________________________

ไม่พลาด! ทุกความรู้ที่จะให้คุณค่ามากกว่าสินทรัพย์

กดติดตาม Techtoro ได้ที่ 👉🏻

 FB : https://techtoro.me/web-fb

 LINE@ : https://techtoro.me/web-line

 Youtube : https://techtoro.me/web-yt

 IG : https://techtoro.me/web-Ig

 Twitter : https://techtoro.me/web-tw

 Blockdit : https://techtoro.me/web-bd

 Tiktok : https://techtoro.me/web-tiktok 

Email : [email protected]

#Techtoro #มากกว่าสินทรัพย์คือความรู้ #บิตคอยน์ #คริปโต #BTC #Bitcoin #LightningNetwork