เริ่มเขียน Smart Contract ใช้ภาษาอะไรดี?

ในโลกบล็อกเชนทุกวันนี้แอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่เราได้เห็นกันไม่ว่าจะเป็นการสร้าง Token, NFTs หรือ DeFi นั้นล้วนมาจาก Smart Contract ทั้งสิ้น โดยผู้พัฒนาส่วนใหญ่จะเขียน Smart Contract กันเป็นหลักมากกว่าที่จะไปเขียนที่ Core ของบล็อกเชน วันนี้แอดมินจึงรวบรวมข้อมูลสำหรับสาย Dev เกี่ยวกับข้อดี-ข้อเสียของภาษายอดนิยมสำหรับการเขียน Smart Contract มาแบ่งปันกัน

Smart Contract แบบเข้าใจง่าย ๆ

Smart Contract หรือ สัญญาอัจฉริยะ เป็นกระบวนการทางดิจิทัล ที่กำหนดขั้นตอนการทำธุรกรรมไว้ล่วงหน้า โดยอัตโนมัติเต็มรูปแบบ และไม่ต้องอาศัยตัวกลาง ซึ่งจะช่วยให้การบังคับใช้สัญญาตามข้อตกลงถูกดำเนินการอย่างถูกต้อง คล่องตัว และโปร่งใส

ภาษาโปรแกรม (Programming Language)

ภาษาโปรแกรม หรือ Programming Language หมายถึง ภาษาที่ออกแบบโครงสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการเขียนคำสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ทำนองเดียวกับตัวโน้ตของภาษาดนตรี ซึ่ง Programming Language นี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเขียน Smart Contract

1. Solidity

Solidity เป็นภาษาสำหรับการสร้าง Smart Contract ภาษาแรก ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากภาษา C ++, Python และ JavaScript ดังนั้น Solidity จึงมีโครงสร้างภาษาที่คล้ายคลึงกับ 3 ภาษาข้างต้น ส่งผลให้มีความง่ายและสะดวกสำหรับนักพัฒนาในการนำไปปรับใช้

ข้อดีของภาษา

– Solidity มีคอมมูนิตี้ที่ใหญ่และเข้าถึงได้ เนื่องจากเป็นภาษาแรกที่ใช้เขียน Smart Contract ทำให้ Dev มือใหม่สามารถมองหาความช่วยเหลือได้ง่ายเมื่อเกิดปัญหา

– Solidity เป็นภาษาแบบ Turing-Complete (มีความสามารถ 4 อย่าง คือ อ่าน, เขียน, เลื่อนหัวจักรไปข้างหน้า และ เลื่อนหัวจักรไปข้างหลัง) ดังนั้น Solidity จึงไม่เพียงแค่สามารถดำเนินการอัลกอริทึม แต่ยังสามารถใช้เพื่อคำนวณทุกฟังก์ชันที่คำนวณได้ (Computable Function)

– Solidity มีแนวความคิด หรือ Concept ที่มีอยู่ในภาษาโปรแกรมยุคใหม่ส่วนใหญ่ ทั้งฟังก์ชัน, การประมวลผลสายอักขระ (String Manipulation), คลาส, ตัวแปร, หรือ ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ เป็นต้น

– Solidity สามารถเรียนรู้ได้ไม่ยากและใช้เวลาเรียนรู้ไม่นาน หากมีพื้นฐานของภาษาโปรแกรมยอดนิยมอย่าง Python หรือ C++ และ JavaScript

ข้อเสียของภาษา

– แม้จะเป็น ภาษาแรกที่ใช้เขียน Smart Contract แต่ Solidity นับว่าเป็นภาษาใหม่ที่ยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง ซึ่งผู้ใช้จำเป็นต้องดำเนินการเองในส่วนนั้น ๆ

ตัวอย่างบล็อกเชนที่ใช้ภาษา 👉 Ethereum, Binance Smart Chain, Ethereum Classic

2. Rust

Rust เป็นภาษาโปรแกรมระดับต่ำ (มีลักษณะใกล้เคียงกับภาษาเครื่อง) ที่พัฒนาโดย Mozilla บริษัทซึ่งพัฒนาเว็บเบราเซอร์ชื่อดังอย่าง Firefox โดยเน้นการเป็นภาษาสำหรับประมวลผลการทำงานพร้อมกัน และทำงานระบบขนาดใหญ่ได้ อีกทั้งยังออกแบบมาไม่ให้มีปัญหาด้านหน่วยความจำ

ข้อดีของภาษา

– ด้วยความเป็นภาษาระดับต่ำและถูกออกแบบให้มีประสิทธิภาพสูง ทำให้สามารถสร้าง DApps (Decentralized Application) ที่มีปริมาณงานของเครือข่ายที่สูง

– ตัวแปรไม่เปลี่ยนรูป (Immutability) ของ Rust เปิดช่องให้เขียนโปรแกรมที่คาดเดาได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแอปพลิเคชันที่สร้างบนบล็อกเชน

ข้อเสียของภาษา

– Rust เป็นภาษาใหม่ที่มีคอนเซ็ปต์ใหม่ ๆ ส่งผลให้อาจใช้เวลาในการเรียนรู้การทำงาน โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ที่เพิ่งเริ่มต้นเขียนโปรแกรม

– คลังโปรแกรม (Library) มีข้อจำกัดมากมายเมื่อเทียบกับภาษาอื่น ๆ อย่าง Python และ JavaScript

– ผู้ใช้จำเป็นต้องเขียนโค้ดมากกว่าภาษาอื่น เพราะต้องแสดงโครงสร้างของทุก ๆ โปรแกรมอย่างชัดเจน

ตัวอย่างบล็อกเชนที่ใช้ภาษา 👉Solana, Polkadot, Near

3. JavaScript

JavaScript เป็นภาษาโปรแกรมเอนกประสงค์ อีกทั้งยังเป็นภาษาระดับเริ่มต้นซึ่งมีการครองพื้นที่ในโลกบล็อกเชน เนื่องจากบล็อกเชนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะสร้างคลัง (Library) ของ JavaScript เพื่อให้นักพัฒนากระโดดเข้ามาร่วมอีโคซิสเต็มได้โดยง่าย

ข้อดีของภาษา

– เป็นภาษายอดนิยม อีกทั้งยังเป็นภาษาหลักสำหรับการเขียนโปรแกรม ทำให้มีการช่วยเหลือมากมายและกว้างขวางจากคอมมูนิตี้

– ใช้เวลาในการพัฒนาน้อยกว่าภาษาอื่น ๆ

ข้อเสียของภาษา

– เป็นภาษาแบบ Dynamic Type (ไม่ต้องกำหนด Type ในการประกาศตัวแปร) ทำให้ผู้ใช้ต้องดำเนินการด้านความปลอดภัยด้วยตัวเอง แตกต่างกับภาษาอื่นที่เป็นแบบ Static Type

ตัวอย่างบล็อกเชนที่ใช้ภาษา 👉 Ethereum, Solana

บทความโดย คุณานันต์ TECHTORO 💙❤️

________________________________

ไม่พลาด! ทุกความรู้ที่จะให้คุณค่ามากกว่าสินทรัพย์

กดติดตาม Techtoro ได้ที่ 👉🏻

FB : https://techtoro.me/web-fb