นายพงศธร ปริญญาวุฒิชัย ฝ่ายวิจัยของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เผยแพร่บทความในหัวข้อ “เจาะพฤติกรรมและผลกระทบของผู้ซื้อขายเหรียญ LUNA ในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลประเทศไทย” โดยรายละเอียดของบทความระบุว่า
ในปีที่ผ่านมานั้น “LUNA” เหรียญประจำเครือข่าย Terra ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่า 16,674% และมีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ราคาของเหรียญ LUNA ปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดในเดือนเมษายน 2565 แต่หลังจากที่เหรียญ UST ซึ่งเป็นเหรียญ Stablecoin ประจำเครือข่ายของ Terra โดยมีเหรียญ LUNA หนุนหลังผ่านกลไก Algorithmic ที่ผู้พัฒนาเหรียญกำหนดให้ผูก (Peg) กับดอลลาร์สหรัฐ นั้นไม่สามารถคงมูลค่า ที่อัตรา 1 เหรียญ UST ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐเอาไว้ได้ จึงทำให้เกิดการสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้ที่ถือเหรียญ และผู้ซื้อขาย ส่งผลให้เกิดการเทขายเหรียญ UST ออกมาอย่างต่อเนื่องจนกระทบต่อมูลค่าเหรียญ LUNA ตามไปด้วย
ดังนั้น จึงเป็นที่มาของการศึกษาถึงพฤติกรรมและลักษณะบัญชีของผู้ซื้อขาย LUNA ในไทยว่ามีพฤติกรรมเป็นอย่างไร
ทางผู้วิจัยได้ทำการแบ่งช่วงเวลาของข้อมูลที่ใช้ในการศึกษา (1 มกราคม 2565 – 22 พฤษภาคม 2565) โดยใช้ช่วงเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อราคาของ LUNA เป็นตัวแบ่ง ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ช่วงดังนี้
- Pre – stage (ช่วงก่อนวันที่ 9 พฤษภาคม) : คือช่วงเวลาก่อนที่ราคาของเหรียญ UST (stable coin) กำลังจะหลุดจากที่ผูกไว้ในอัตรา 1 UST ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ หรือมีราคาน้อยกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐ
- Fall – stage (ช่วงระหว่างวันที่ 9 – 13 พฤษภาคม) : คือช่วงเวลาที่ราคาของเหรียญ UST หลุดจาก อัตราที่ผูกไว้หรือมีราคาน้อยกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐ
- Bottom out – stage (ช่วงหลังจากวันที่ 13 พฤษภาคม) : คือช่วงเวลาที่ราคาของเหรียญ LUNA ตก ไปอยู่จุดต่ำสุดในขณะนั้น และศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยประกาศระงับการซื้อขาย LUNA ชั่วคราวเป็นระยะเวลา 1 วัน
จากข้อมูลจำนวนบัญชีที่เข้ามาซื้อขาย LUNA ทั้งหมดพบว่ามีบัญชีจำนวน 211,723 บัญชี โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 67% ที่มีประสบการณ์ซื้อขายเหรียญประเภทอื่นมาก่อน แต่ยังไม่เคยซื้อ LUNA และเพิ่งเริ่มเข้ามาซื้อขายในช่วง Bottom out รวมถึงมีกลุ่มบัญชีที่เข้ามาเพื่อเก็งกำไรในเหรียญ LUNA เพียงอย่างเดียวอยู่ที่ 9,658 บัญชี โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3%
อย่างไรก็ดี เมื่อมองภาพรวมของผู้ซื้อขายใน LUNA พบว่ามีผลตอบแทนที่ขาดทุนโดยคิดเป็น 96% โดยพบว่าจำนวนบัญชีส่วนใหญ่ที่ขาดทุนนั้นจะเป็นบัญชีที่เพิ่งเริ่มเข้ามาซื้อขายในช่วง Bottom-out
เมื่อสรุปผลกำไร/ขาดทุนของบัญชีของผู้ซื้อขายแต่ละกลุ่มการศึกษาในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลประเทศไทย พบว่ามีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ประมาณ 980 ล้านบาท ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่เป็นบัญชีประเภทบุคคลในประเทศ โดยบัญชีที่เข้ามาในช่วง Fall นั้นจะเป็นกลุ่มบัญชีที่มีผลลัพธ์ของการขาดทุนมากที่สุด
ผู้วิจัยได้ฝากข้อคิดเตือนใจไว้ในส่วนท้ายของบทความว่า “จากบทศึกษานี้จะเห็นได้ว่าผู้ซื้อขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีเป้าหมายเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น รวมถึงมีการลงทุนตามกระแส และให้ความสนใจกับตัวเลขผลตอบแทนที่สูงเป็นหลัก โดยพร้อมที่จะยอมรับ ผลขาดทุนเพื่อแลกกับโอกาสที่จะได้กำไรสูงมากในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งในบางครั้งอาจขาดการกระจายการลงทุน และประเมินถึงความเสี่ยงที่จะได้รับ
ทั้งนี้ผลลัพธ์ของบทศึกษานี้จะช่วยสะท้อนให้เห็นผลกำไรขาดทุนของผู้ซื้อขายในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้ตระหนักถึงการพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเข้ามาซื้อขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยโอกาสในการทำกำไรที่เกิดขึ้นจริงอาจไม่ได้มีมากดังที่คาดหวังไว้
นอกจากนี้ด้วยลักษณะของสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความผันผวนของราคาที่สูง ดังนั้นเงินที่นำมาลงทุนไม่ควรมาจาก การกู้ยืมหรือเป็นเงินที่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และหากสูญเสียเงินส่วนนี้ไปแล้วจะต้องไม่เป็นภาระต่อตัวเองและครอบครัว”
________________________________
ไม่พลาด! ทุกความรู้ที่จะให้คุณค่ามากกว่าสินทรัพย์
กดติดตาม Techtoro ได้ที่ 👉🏻
FB : https://techtoro.me/web-fb
LINE@ : https://techtoro.me/web-line
Youtube : https://techtoro.me/web-yt
IG : https://techtoro.me/web-Ig
Twitter : https://techtoro.me/web-tw
Blockdit : https://techtoro.me/web-bd
Tiktok : https://techtoro.me/web-tiktok
Email : [email protected]
#Techtoro #มากกว่าสินทรัพย์คือความรู้ #กลต #SEC #LUNA #Terra #Crypto #Cryptocurrency #คริปโต #คริปโตเคอร์เรนซี