ในช่วงปีที่ผ่านมา มีข่าวมากมายเกี่ยวกับเรื่อง “เงินเฟ้อ” บางประเทศตัวเลขเงินเฟ้อสูงที่สุดในรอบ 10 ปี, 20 ปี, รวมไปถึง 40 ปี! ทำให้คนไทยเกิดการตื่นตัวในเรื่องการลงทุกเป็นอย่างมาก แต่การลงทุนนั้นก็มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งความเสี่ยงต่ำอย่างพันธบัตรรัฐบาล ไปจนถึงความเสี่ยงสูงปรี๊ดแบบคริปโต
วันนี้แอดมินได้สรุปข้อมูลเบื้องต้น สำหรับการลงทุนยอดฮิตที่มักเป็นประตู่สู่โลกการลงทุนของใครหลาย ๆ คน ไปดูกันเลยว่า “กองทุนรวม VS หุ้น มือใหม่ลงทุนอะไรดี?”
กองทุนรวม คืออะไร?
กองทุนรวม (Mutual Fund) สามารถแยกออกเป็น 3 คำได้ว่า กอง+ทุน+รวม ดังนั้นความหมายของกองทุนรวมแบบง่าย ๆ ก็คือ “การทำทุนไปกองรวมกัน เพื่อลงทุนในสินทรัพย์อะไรสักอย่าง” โดยประเภทของกองทุนก็จะมีมากมาย ตามสินทรัพย์ที่กองทุนนั้นไปลงทุน
เช่น กองทุนรวมตลาดเงิน คือ กองทุนที่นำเงินของนักลงทุนรายย่อยไปซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ที่มีสภาพคล่องคล้ายเงินสด หรือใกล้เคียง โดยจะลงทุนในเงินฝาก และตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี
กองทุนตราสารทุน (หุ้น) คือ กองทุนที่นำเงินไปลงทุนในหุ้นแต่ละตัว โดยมีผู้จัดการกองทุนคอยคัดเลือกหุ้น และจัดการดูแลพอร์ตให้มีผลตอบแทนตรงกับนโยบายของกองทุน
รูปแบบการลงทุน
มีการกระจายความเสี่ยงภายในตัวหน่วยลงทุนเอง เช่น กองทุนหุ้นจีน ก็จะกระจายการลงทุนไปยังหุ้นจีนหลาย ๆ ตัวตามสัดส่วนที่เหมาะสม และยังมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแล ติดตามข่าวสาร และคัดเลือกหุ้น ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนรวมนั้น ผู้ลงทุนจะมีสถานะเป็นเจ้าของบริษัทโดยอ้อม เนื่องจากไม่ใช่ผู้ถือหุ้นโดยตรง
กองทุนรวม เหมาะกับใคร?
กองทุนรวมเป็นการลงทุนที่เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ หรือประสบการณ์น้อย เพราะการลงทุนในกองทุนรวมจะมีการกระจายความเสี่ยงในตัวมันเอง อีกทั้งยังมีผู้จัดการกองทุนคอยติดตามข่าวสาร คัดเลือกหุ้น และสรุปผลให้ ช่วยให้ผู้ลงทุนที่ไม่มีเวลาติดตามข่าวสาร และวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงลึก โดยราคาซื้อ – ขายกองทุนจะกำหนดตาม NAV (Net Asset Value) หรือทรัพย์สินสุทธิ ณ สิ้นวัน
นอกจากนี้ กองทุนรวมยังเหมาะกับนักลงทุนระยะยาว ที่ต้องการกระจายความเสี่ยง และต้องการลงทุนแบบ “ไม่ต้องคิดมาก” เรียกได้ว่า เป็นขวัญใจนักลงทุนสายชิลเลย
หุ้น คืออะไร
ตราสารทุน หรือ “หุ้น” คือ สิ่งที่กิจการออกให้กับผู้ลงทุน ใช้บอกสัดส่วนความเป็นเจ้าของของบริษัท โดยผู้ถือหุ้นนั้นจะมีฐานะเป็นเจ้าของบริษัท หรือกิจการนั้น ๆ การลงทุนในหุ้นจึงเป็นการลงทุนในธุรกิจ แต่เราไม่จำเป็นต้องสร้างแบรนด์ หรือออกแบบโมเดลธุรกิจด้วยตัวเอง โดยเมื่อเราเข้าไป “ซื้อหุ้น” ของบริษัทใด ๆ ก็หมายความว่าเราเป็น “หุ้นส่วน” ของบริษัทนั้น ๆ ตามสัดส่วนหุ้นที่เราถือ
รูปแบบการลงทุน
การลงทุนในหุ้นนั้น เราจะต้องทำการเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ (นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์) ซึ่งในประเทศไทยก็มีโบรกเกอร์ดี ๆ ให้เลือกมากมายหลายค่าย โดยสิทธิ์ในการคัดเลือก, ซื้อ – ขายหุ้น จะเป็นของผู้ลงทุนเอง ข้อดีคือมีความยืดหยุ่นมากกว่ากองทุนรวม เราสามารถเลือกหุ้นได้ด้วยตนเอง และสามารถซื้อ – ขายที่เวลา หรือราคาใดก็ได้ (ตามตลาด)
ลงทุนหุ้น เหมาะกับใคร?
การลงทุนในหุ้นนั้น เหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์ เนื่องจากตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง ผู้ลงทุนจำเป็นต้องหาความรู้ และข้อมูลเชิงลึก อีกทั้งยังต้องมีความเข้าใจในธุรกิจที่จะลงทุนเป็นอย่างดี เช่นการอ่านงบการเงิน ติดตามข่าวสาร ติดตามผลประกอบการ โดยข้อดีของตลาดหุ้น คือ เป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูง สร้างโอกาสเติบโตได้มาก และยังอาศัยเงินปันผลเป็น Passive Income ได้ด้วย
*ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลด้วยตัวเองก่อนตัดสินใจ
บทความโดย คุณานันต์ TECHTORO 💙❤️
________________________________
ไม่พลาด! ทุกความรู้ที่จะให้คุณค่ามากกว่าสินทรัพย์
กดติดตาม Techtoro ได้ที่ 👉🏻
FB : https://techtoro.me/web-fb
LINE@ : https://techtoro.me/web-line
Youtube : https://techtoro.me/web-yt
IG : https://techtoro.me/web-Ig
Twitter : https://techtoro.me/web-tw
Blockdit : https://techtoro.me/web-bd
Tiktok : https://techtoro.me/web-tiktok
Email : [email protected]
#Techtoro #มากกว่าสินทรัพย์คือความรู้ #กองทุนรวม #กองทุน #หุ้น #ลงทุน #มือใหม่ #ลงทุนอะไรดี #หุ้นไทย #หุ้นต่างประเทศ #ซื้อหุ้น # #MutualFund #Stock #Investment #Traditional