1. บิล แอคแมน (Bill Ackman)
ข้อผิดพลาด: วาเลียนท์ ฟาร์มาซูติคอล (Valeant Pharmaceuticals) บริษัทเวชภัณฑ์ข้ามชาติสัญชาติแคนาดา ได้ทำลายผลตอบแทนและทำให้ชื่อเสียงของแอคแมนต้องด่างพร้อย
เรื่องราวเริ่มต้นด้วยการรวมทีมกับวาเลียนท์ เพื่อซื้อบริษัทคู่แข่ง นั่นก็คือ อัลเลอร์แกน (Allergan) บริษัทผลิตโบท็อกซ์ (Botox) ชื่อดัง ซึ่งเขาเองได้ถือหุ้นของบริษัทดังกล่าวอยู่ก่อนแล้ว
โดยบทสรุปของการควบรวมกิจการในข้างต้นนั้น สามารถเรียกได้ว่า “เจ๊ง” เต็มประตู เพราะการลงทุนครั้งนี้ แอคแมนขาดทุนไปกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 1.4 แสนล้านบาท จนเขาต้องเทขายหุ้นดังกล่าวทั้งหมด
บทเรียน: แม้จะมีทีมบริหารจัดการ และประวัติการลงทุนระยะยาวที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ยังสามารถเกิดข้อผิดพลาดใหญ่ได้ แอคแมนกล่าวเกี่ยวกับวาเลียนท์ว่า กลยุทธ์ที่บริษัทเติบโตจากการเข้าซื้อกิจการอาจดูดีในระยะหนึ่ง แต่ต่อมา งบดุลกลับป่นปี้ในขณะที่บริษัทมีหนี้กองท่วมหัวเพื่อนำเงินมาจับจ่าย ในที่สุดก็ต้องจำใจตกลงจ่าย 1.45 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 5.1 แสนล้านบาท ในขณะเดียวกันบริษัทก็เจอกับแรงกดดันเรื่องราคายา ซึ่งส่งผลกระทบต่อการขายสินค้าและการเติบโตของกำไร (Profit Growth)
2. วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett)
ข้อผิดพลาด: การเข้าซื้อ “เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์” (Berkshire Hathaway) บริษัทภายใต้การบริหารของบัฟเฟตต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทที่น่าชื่นชมมากที่สุดในโลก แต่บัฟเฟตต์กลับบอกว่า การเข้าซื้อดังกล่าวเป็น “ข้อผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุด” ของเขา
เบิร์กเชียร์ เป็นโรงงานสิ่งทอที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อบัฟเฟตต์เข้าซื้อบริษัทในปี 1964 เพื่อหวังพลิกโฉม แต่มันก็ไปต่อได้ไม่ดี เขาจึงปิดโรงงานในปี 1985 ซึ่งเขาได้กล่าวในจดหมายถึงผู้ถือหุ้น เมื่อปี 2014 ว่า “มันคือการตัดสินใจที่โง่เง่าสิ้นดี”
บทเรียน: อย่าโยนเงินดีใส่ของเน่า (Don’t throw good money after bad) ซึ่งหมายถึงการจ่ายเงินหรือลงทุนในสิ่งที่ไม่คุ้มค่า บัฟเฟตต์กล่าวในจดหมายปี 2014 ว่า “เบิร์กเชียร์” เป็นธุรกิจที่แย่ อุตสาหกรรมนี้ลงเหว ทั้งเชิงเปรียบเทียบและเชิงกายภาพ และด้วยสาเหตุหลายประการ “เบิร์กเชียร์” ไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางของมันได้แล้ว
3. แมทธิว ฟรูฮัน (Matthew Fruhan)
ฟรูฮันได้บริหารกองทุน Fidelity Mega Cap Stock (FGRTX) ตั้งแต่ปี 2009 ตั้งแต่ที่ฟรูฮันได้เข้ามารับช่วงต่อ กองทุนนี้ได้นำหน้าคู่แข่งในหมวดหมู่หุ้นบริษัทใหญ่
ข้อผิดพลาด: บริษัทผู้ผลิตเวชภัณฑ์และสามัญประจำบ้าน เทวา ฟาร์มาซูติคอล อินดัสตรี้ (Teva Pharmaceutical Industries) หรือ TEVA คือการลงทุนที่ย่ำแย่ของฟรูฮัน
การเติบโตของบริษัทดังกล่าวนั้นดูแข็งแกร่งมาก เมื่อตอนที่เขาเริ่มเข้ามาลงทุนในช่วงปีแรก ๆ แต่ “เทวา” กลับสูญเสียสินทรัพย์ (ทั้งหุ้นและเงินสด) มูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 1.4 ล้านล้านบาท เพื่อเข้าซื้อกิจการ “อัลเลอร์แกน” ในปี 2015
ฟรูฮันกล่าว่า เทวาเข้าซื้อกิจการดังกล่าวด้วยราคาที่ “ไร้สาระ” ในขณะเดียวกัน บริษัทเทวา ฟาร์มาซูติคอล อินดัสตรี้ ก็ต้องเผชิญกับความกดดันในด้านราคา กำไรอันน้อยนิด และนั่นก็ทำให้นักลงทุนพากันเทขายหุ้น ส่งหุ้น TEVA ร่วงลงกว่า 47% ในเวลาเพียง 2 ปี
บทเรียน: ฟรูฮันยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า “จุดอ่อน” การลงทุนของเขาในครั้งนี้ คือ ความผิดพลาดในการคาดการณ์รายได้ของบริษัท ในระยะเวลา 3-5 ปี และเหตุที่การลงทุนดังไม่เป็นไปตามความคาดหวังของเขา เป็นเพราะการเข้าซื้อกิจการ “ราคาแพง” และความกดดันในด้านราคา
“เป็นเรื่องดีที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาดของคุณ แต่จะดีกว่าถ้าคุณเรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่น”
–วอร์เรน บัฟเฟตต์–
_______________________
ไม่พลาด! ทุกความรู้ที่จะให้คุณค่ามากกว่าสินทรัพย์
กดติดตาม Techtoro ได้ที่ 👉🏻
Website : https://techtoro.me/fb-web
LINE@ : https://techtoro.me/fb-line
Youtube : https://techtoro.me/fb-yt
IG : https://techtoro.me/fb-ig
Twitter : https://techtoro.me/fb-tw
TikTok : https://techtoro.me/fb-tt
Blockdit : https://techtoro.me/fb-bd
Email : [email protected]
#Techtoro #มากกว่าสินทรัพย์คือความรู้ #BillAckman #WarrenBuffett #MatthewFruhan