Cross-Chain คือกลไกที่จะเข้ามาเชื่อมต่อการทำงานของบล็อกเชนของแต่ละค่ายให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ ส่งเสริมให้โลกของบล็อกเชนมีความเป็นอิสระอย่างแท้จริงเหมือนกับการใช้งานอินเทอร์เนตที่คนทั้งโลกสามารถเข้าถึงกันได้แม้จะมีผู้ให้บริการที่ต่างกัน
เมื่อบล็อกเชนและ dApps เกิดการแบ่งค่าย
โลกของคริปโตได้เริ่มขึ้นจาก Bitcoin ซึ่งเป็น Cryptocurrency แรกของโลก จากนั้นได้เกิดการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนไปพัฒนาต่อจนเกิดสิ่งที่เรียกว่า Smart Contract ทำให้เกิดแอปพลิเคชั่นที่ทำงานแบบกระจายศูนย์หรือ dApps เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น DeFi, GameFi หรือ NFT โดย Ethereum ได้กลายเป็นผู้นำในเทคโนโลยีดังกล่าวนานหลายปีโดยเฉพาะในยุคของ ICO ที่การระดมทุนล้วนแล้วแต่ใช้เทคโนโลยี ERC-20
จนกระทั่งได้เกิดนักพัฒนาบล็อกเชนบางส่วนที่แยกตัวออกมาจากทีม Ethereum เพื่อมาสร้าง Blockchain Infrastructor ใหม่ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Polkadot, Cardano หรือเกิดทีมพัฒนารุ่นใหม่ไม่ว่าจะเป็น BNB Chain, Solana, Terra Chain หรือ Avalanche
จุดประสงค์ที่เกิด Blockchain ใหม่ ๆ ขึ้นก็เพื่อแก้ไขปัญหาของ Ethereum ที่เทคโนโลยีทำงานช้าและค่าธรรมเนียม (Gas) มีราคาแพง และยังชูจุดขายของการสามารถที่จะช่วยยืนยันการทำธุรกรรมด้วย Proof Of Stake หรือการ Staking โดยเพียงแค่ล็อกเหรียญของเชนนั้น ๆ ก็จะได้รับ Reward แทนที่จะต้องลงทุนกับเครื่องขุดที่มีต้นทุนสูง
นอกจากนี้ยังทำให้เกิด dApps หน้าใหม่เกิดขึ้นจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ภายใต้เชน Ethereum เพียงอย่างเดียว โดยมีจุดขายที่ค่าธรรมเนียมการใช้งานที่ถูก ทำให้ช่วยดึงดูดผู้ใช้งานหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่โลกของคริปโตให้เข้ามาใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น Pancakeswap จากค่าย BNB Chain หรือ Anchor ของค่าย Terra Chain
สิ่งที่เกิดขึ้นคือเกิดการ “แบ่งค่าย” ของนักพัฒนาและผู้ใช้งาน เหมือนกับค่ายหนังหรือค่ายเพลงที่ต่างฝ่ายชูจุดเด่นของตัวเองเพื่อดึงแฟนคลับ จนกระทั่งหลาย ๆ เชนสามารถมีส่วนแบ่งการตลาดที่ขึ้นมาเทียบเคียงกับ Ethereum ได้อย่างสูสี
Blockchain ควรจะทำงานอย่างไร้รอยต่อ
อย่างไรก็ตาม หลักการของบล็อกเชนควรที่จะมีความเป็น Decentralized หรือไร้ตัวกลางและไม่ควรที่จะมีการแบ่งค่ายจนทำให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้งาน ลองนึกภาพของอินเทอร์เนตที่เราใช้งานในปัจจุบันก็ไม่มีการแบ่งค่าย ใครที่มีแอปพลิเคชั่นหรือ Device ที่ต่างกันก็สามารถใช้งานอินเทอร์เนตได้ทั้งหมด
จึงทำให้เกิดบาง Protocol ที่อาสาเข้ามาเชื่อมต่อการทำงานระหว่างบล็อกเชนต่าง ๆ ให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ จากเดิมที่หากอยู่คนละเชนก็จะไม่สามารถทำงานร่วมกันได้เลย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าถือเหรียญ BNB แต่ต้องการใช้งาน Terra Chain ก็ต้องเอา BNB ไปขายใน Exchange และแลกกลับมาเป็น UST ซึ่งทำให้เกิดความไม่สะดวก
กลไกที่เข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าวก็คือ “Cross-Chain” ซึ่งจะเป็นตัวกลางที่รับเชื่อมต่อธุรกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างสองบล็อกเชนที่ต่างกันให้สามารถทำงานร่วมกันได้ เช่น การโอน การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างกัน นักพัฒนา dApps สามารถที่จะนำกลไกดังกล่าวไปใช้เป็นเบื้องหลังของแอปพลิเคชั่นได้โดยง่ายโดยที่ผู้ใช้งานไม่เกิดการสะดุด
ข้อดีที่จะเกิดขึ้นคือผู้ใช้งานมีความสะดวกในการใช้งาน dApps โดยไม่ว่าจะถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลในเชนไหนก็ตามก็สามารถที่จะใช้งานได้โดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนเหรียญไปมา
นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าธรรมเนียมในการใช้งานตลอดจนช่วยให้ตลาดรวมของ dApps เติบโตขึ้นด้วยเพราะผู้ใช้งานสามารถย้ายการใช้งานระหว่างโปรเจกต์ได้สะดวกขึ้นและสภาพคล่องก็จะเพิ่มขึ้น
เรียกได้ว่า Cross-Chain คือกลไกที่จะเข้ามาทำให้โลกของบล็อกเชนมีความเป็นอิสระไร้รอยต่อของเทคโนโลยีอย่างแท้จริง ผลประโยชน์ที่ได้คือนักพัฒนามีโอกาสจะเปิดรับผู้ใช้งานโดยไม่จำกัดค่าย ส่วนผู้ใช้งานก็จะมีอิสระในการเลือก dApps ที่สนใจโดยไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องของค่ายบล็อกเชนที่แตกต่างกัน ส่งเสริมให้โลกของบล็อกเชนมีความเป็นอิสระอย่างแท้จริงโดยไม่มีการแบ่งแยกค่าย เหมือนกับการใช้งานอินเทอร์เนตที่คนทั้งโลกสามารถเข้าถึงกันได้แม้จะมีผู้ให้บริการที่ต่างกัน
นเรศ เหล่าพรรณราย
CEO and Founder : Ricco Wealth
เลขาธิการสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย
________________________________
ไม่พลาด! ทุกความรู้ที่จะให้คุณค่ามากกว่าสินทรัพย์
กดติดตาม Techtoro ได้ที่ 👉🏻
FB : https://techtoro.me/web-fb
LINE@ : https://techtoro.me/web-line
Youtube : https://techtoro.me/web-yt
IG : https://techtoro.me/web-Ig
Twitter : https://techtoro.me/web-tw
Blockdit : https://techtoro.me/web-bd
Tiktok : https://techtoro.me/web-tiktok
Email : [email protected]
#Techtoro #มากกว่าสินทรัพย์คือความรู้ #คริปโต #บล็อกเชน #Crypto #Blockchain #DeFi #CrossChain