อีกหนึ่งหุ้น IPO ที่เตรียมจะเข้าซื้อขายเร็วๆนี้ อย่างบริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI เป็นที่พูดถึงกันมาอย่างต่อเนื่อง โดย AAI มีความเชี่ยวชาญการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานชั้นนำของประเทศ และนับเป็นบริษัทเรือธง (Flagship) ในการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง ของ บมจ. เอเชี่ยนซีคอร์ปอเรชั่น หรือ ASIAN
หากนักลงทุนท่านไหนต้องการเป็นเจ้าของคงต้องออดใจรออีกนิด เพราะล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ได้รับอนุมัติแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่1 กันยายน 2565 ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม เพื่อเสนอขายหุ้น IPO และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม

มาถึงตรงนี้แล้วแอดมินจะพานักลงทุนมาสำรวจความน่าสนใจของ AAI และการเติบโตหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ผ่านการประเมินของนักวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ประเมินว่า AAI สมควรจะมี P/E พรีเมียมเมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารใน SET ซึ่งผลประกอบการมีความผันผวนสูงตามการเปลี่ยนแปลงของราคาเนื้อสัตว์และสัตว์น้ำ
ขณะที่ AAI มีศักยภาพเติบโตอย่างมีเสถียรภาพจากการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและมีการขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตดี ประเมินมูลค่า AAI โดยดีสเคาน์จากบริษัทในต่างประเทศซึ่งประกอบธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีฐานลูกค้ากว้างกว่า ซึ่งมี PE23 เฉลี่ยที่ 21.4 เท่า โดยอิง PE23 ที่ 19-20 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 7.37-7.76 บาท โดยมีมูลค่ากิจการเท่ากับ 15,658 – 16,482 ล้านบาท
ทั้งนี้บริษัทจะขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง 95% ตลอดช่วง 4 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับกับการเติบโตของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงตามกระแสความนิยมการเลี้ยงสัตว์เหมือนเป็นสมาชิกครอบครัว (Pet Humanization) ประกอบกับได้ทำสัญญาซื้อขายระยะยาว 5 ปี กับลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงที่มีชื่อเสียงในระดับสากล รวมทั้งเน้นผลิตอาหารสัตว์แบบเปียกและทยอยเพิ่มรายได้ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของตนเองซึ่งมีอัตรากำไรสูง จึงคาดอัตราการเติบโตเฉลี่ยของกำไรสุทธิต่อปี (CAGR) ในช่วง 3 ปีข้างหน้าที่ 14.3%
ดังนั้นประเมินว่าผลประกอบการจะเติบโตดีขึ้นต่อเนื่องในครึ่งหลังปี 2565 ซึ่งคาดว่ารายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ในปี 2565 ที่ 7,015 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% จากปีก่อน โดยรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงคาดที่ 6,007 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 46%จากปีก่อน คิดเป็นสัดส่วน 86% ของยอดขายรวม จากการขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก 6,000 ตันต่อปีในช่วงครึ่งแรกปี 65 เป็น 42 ,000 ตันต่อปี โดยคาดปี 2565 กำไรสุทธิที่ 750 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน
สำหรับปี 2566 คาดว่ายอดขายรวมเพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน เป็น 7,893 ล้านบาทจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงที่มีการขยายกำลังการผลิตในช่วงปลายปี 2565 จำนวน 7,500 ตันต่อปี เป็น 49,500 ตันต่อปี และคาดว่าคำสั่งซื้อจากลูกค้าเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการขยายตัวของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มลดลงจากการที่ต้นทุนค่าแรงเพิ่มสูงขึ้น ประเมินกำไรสุทธิปี 2566 จะเติบโต 10% เป็น 824 ล้านบาท
บริษัทมีแผนจะขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกประมาณ 40,000 ตันต่อปี ในช่วงปลายปี 2565 ถึงปี 2568 ได้แก่
1.ปลายปี 2565 เพิ่มกำลังการผลิต 7,500 ตันต่อปี เป็น 49,500 ตันต่อปี
2.ปี 2566 เพิ่มกำลังการผลิต 6,500 ตันต่อปี เป็น 56,000 ตันต่อปี
3.ปี 2567 เพิ่มกำลังการผลิต 14,750 ตันต่อปี เป็น 70,750 ตันต่อปี
และ 4.ปี 2568 เพิ่มกำลังการผลิต 11,000 ตันต่อปี เป็น 81,750 ตันต่อปี
AAI มีคลังสินค้าอัตโนมัติ (Auto Warehouse) ซึ่งจัดเก็บสินค้าได้ประมาณ 15,000 พาเลท และมีแผนจะสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติแห่งที่ 2 ในปี 2566 ภายในพื้นที่โรงงานปัจจุบันสามารถเก็บสินค้าได้ประมาณ 15,000 20,000 พาเลท ซึ่งจะรองรับกับการขยายกำลังการผลิตของบริษัท
ด้านรายได้หลักของ AAI มาจากการรับจ้างผลิต (OEM) ภายใต้แบรนด์ผลิตภัณฑ์ของลูกค้าสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก โดยคิดเป็น 97% ของรายได้จากการขายทั้งหมดในปี 2562 ถึงครึ่งแรกปี 65 กลุ่มลูกค้าหลัก คือ ลูกค้าเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์ชั้นนำในระดับสากล
รายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ คิดเป็นประมาณ 90-94% ของรายได้จากการขายทั้งหมดในปี 2562 ถึงครึ่งแรกปี 65 โดยรายได้จากการส่งออกส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยคิดเป็นประมาณ 6-10% ของรายได้จากการขายทั้งหมดในปี 2562 ถึงครึ่งแรกปี 65
ทั้งนี้ ตลาดหลักของผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงของบริษัท คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป และประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก คือ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศอิสราเอล และประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง เช่น ประเทศซาอุดิอาระเบีย และประเทศซีเรีย เป็นต้น
สำหรับช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์แบ่งเป็น 3 ช่องทาง ได้แก่ 1.การติดต่อกับลูกค้าผ่านการติดต่อเองโดยตรง ซึ่งคิดเป็น 77% 2.การขายสินค้าผ่านตัวแทนนำเข้าส่งออกสินค้า คิดเป็น 7% และ 3.การขายสินค้าผ่านนายหน้าขายสินค้า คิดเป็น 16% ของรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ผลิตภัณฑ์ของลูกค้าในครึ่งแรกปี 65
________________________________
ไม่พลาด! ทุกความรู้ที่จะให้คุณค่ามากกว่าสินทรัพย์
กดติดตาม Techtoro ได้ที่ 👉🏻
FB : https://techtoro.me/web-fb
LINE@ : https://techtoro.me/web-line
Youtube : https://techtoro.me/web-yt
IG : https://techtoro.me/web-Ig
Twitter : https://techtoro.me/web-tw
Blockdit : https://techtoro.me/web-bd
Tiktok : https://techtoro.me/web-tiktok
Email : [email protected]
#Techtoro #มากกว่าสินทรัพย์คือความรู้ #หุ้น #AAI #IPO #หุ้นเด่น #หุ้นไอพีโอ #วิเคราะห์หุ้น